จากกรณีผู้ป่วยเอชไอวี นิวยอร์ก ชี้ว่ามีโอกาสหายขาดได้

การติดเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่อาจสามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาให้ร่างกายแข็งแรงได้

คำกล่าวนี้อาจไม่จริงเสมอไป เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าว ‘ผู้ป่วยนิวยอร์ก’เป็นผู้หญิงรายแรกที่อาจหายขาดจากโรคนี้ โดยเธอป่วยเป็นมะเร็งเลือดขาวหลังจากติดเชื้อ จึงได้รับการปลูกถ่ายเลือดจากสายสะดือรก ต่อมาสามารถหยุดยาต้านไวรัส และตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสมา 1 ปี นับเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ของโลกต่อจาก ‘ผู้ป่วยเบอร์ลิน’ (Berlin Patient) ในปี 2008 และ ‘ผู้ป่วยลอนดอน’

(London Patient) ในปี 2019 เป็นความก้าวหน้าในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ระบาดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หรือ 50 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อประมาณ 38 ล้านคนทั่วโลก ถึงแม้จะสามารถรักษาให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป แต่ยังต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยนิวยอร์กเป็นความหวังสำหรับผู้ติดเชื้อรายอื่นมากน้อยแค่ไหน ไทม์ไลน์ของผู้ป่วยนิวยอร์ก ข่าวความก้าวหน้าครั้งสำคัญนี้มาจากงานประชุมเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและเชื้อฉวยโอกาส (Conference on Retroviruses and Opportunitistic Infections: CROI) ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2022 นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ผู้ป่วยหญิงวัยกลางคนรายหนึ่งได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล Weill Cornell Medicine รัฐนิวยอร์ก จนตรวจไม่พบการติดเชื้อ เนื่องจากต้องการปกปิดชื่อเพื่อความเป็นส่วนตัว เธอจึงถูกเรียกว่า ‘ผู้ป่วยนิวยอร์ก’ ตามชื่อเมืองที่รักษาเหมือนกับผู้ป่วยที่รักษาหายก่อนหน้านี้มิถุนายน 2013

บทความอื่น ๆ : SUP board กีฬาสุดอินเทรนด์ กิจกรรมสุด Cool แห่งปี 2021

ufabet

ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และรับประทานยาต้านไวรัสจนสามารถกดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำ

มีนาคม 2017 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML (Acute myelogenous leukemia) สิงหาคม 2017 ได้รับการปลูกถ่ายเลือดจากสายสะดือรก (Cord blood transplant) จากผู้บริจาคที่มียีนต้านการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เธอใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 17 วัน โดยไม่มีภาวะเซลล์ของผู้บริจาคทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผู้ป่วย (Graft versus host disease) ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลังจากการปลูกถ่าย ทั้งนี้ในระหว่างรอการปลูกถ่ายสำเร็จ 6 สัปดาห์ เธอยังได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Blood stem cell) จากญาติสายตรง Dr. Marshall Glesby ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในการวิจัยครั้งนี้ อธิบายว่าเซลล์เม็ดเลือดจากญาติ ซึ่งมีความเข้ากันได้ครึ่งหนึ่ง ช่วยพยุงระบบภูมิคุ้มกันจนกระทั่งเซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือทำงานได้เต็มที่ ทำให้การปลูกถ่ายมีความปลอดภัยมากขึ้น กันยายน 2020

ผู้ป่วยตัดสินใจหยุดยาต้านไวรัสหลังจากปลูกถ่ายเลือด 37 เดือน และปัจจุบันเป็นระยะเวลา 14 เดือนที่เธอตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี รวมถึงตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสด้วย นับเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ของโลกที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ทำไมถึงรักษาหายขาดได้ ความเหมือนกันระหว่างผู้ป่วยนิวยอร์กและอีก 2 รายก่อนหน้า คือ เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเกี่ยวกับระบบเลือด (ผู้ป่วยเบอร์ลินเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML เหมือนกัน ส่วนผู้ป่วยลอนดอนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง)

จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ซึ่งเปรียบเสมือนการรื้อ ‘โรงงานผลิตเม็ดเลือด’ เดิมทิ้ง แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งและเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดในไขกระดูก จากนั้นจะได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดทางหลอดเลือดดำ พร้อมกับยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อให้เซลล์ผู้ป่วยยอมรับเซลล์ของผู้บริจาคเข้ามาในไขกระดูกโดยไม่ต่อต้าน ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำมากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส แต่โดยปกติโรงงานใหม่จะเริ่มผลิตเม็ดเลือดได้เต็มที่ภายใน 2-3 สัปดาห์

ในขณะที่ไวรัสเอชไอวีมีเป้าหมายหลักเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะรับประทานยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบไวรัสในเลือด และมีระดับ CD4 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไวรัสจะยังแฝงอยู่ในเม็ดเลือดขาวหรือระบบต่อมน้ำเหลืองในร่างกาย หากหยุดยาต้านไวรัส ไวรัสก็จะกลับมาเพิ่มจำนวนอีกครั้ง ตรงกันข้ามในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดจะถูกทำลาย รวมถึงเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีแฝงอยู่ วิธีนี้จึงเป็นปัจจัยหนึ่งของการรักษาโรคนี้ให้หายขาด แต่จะต้องมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วมด้วย นั่นคือ ผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดต้องมียีนต้านการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วย หรือการกลายพันธุ์ที่เรียกว่า

CCR5-delta 32 โดย CCR5 เป็นโปรตีนตัวรับ (Receptor) บนผิวเซลล์เม็ดเลือดขาว เปรียบเสมือน ‘แม่กุญแจ’ ที่คล้องประตูรั้วอยู่ ส่วนไวรัสมี ‘ลูกกุญแจ’ ที่สามารถไขเปิดเข้ามาได้ เมื่อมีการกลายพันธุ์ทำให้ไวรัสเปิดประตูไม่ได้ ผู้มียีนนี้จึงสามารถต้านการติดเชื้อได้นั่นเอง ซึ่งในผู้บริจาค 20,000 คน จะพบเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของยุโรป เมื่อโรงงานเก่าซึ่งมีไวรัสเอชไอวีแฝงอยู่ถูกทำลาย

ส่วนโรงงานใหม่มีประตูที่ไวรัสเอชไอวีไขเปิดเข้ามาไม่ได้ ผู้ป่วยจึงสามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีสมมติฐานว่าภาวะ Graft versus host disease ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยหลังจากปลูกถ่าย อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวจากโรงงานใหม่เห็นเซลล์เก่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงถูกจับกินในที่สุด แต่เนื่องจากผู้ป่วยนิวยอร์กไม่พบภาวะแทรกซ้อนนี้ สมมติฐานนี้จึงอาจตกไป ส่วนการใช้เลือดจากสายสะดือรกก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ costumeencyclopedia.com

Releated